เจาะลึกวิธีปลูกผม 3 แบบ FUE, FUT และ DHI แบบละเอียด

การปลูกผมเป็นวิธีแก้ปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน มีเทคนิคการปลูกผมให้เลือกหลากหลายแบบ แต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป บทความนี้จะพาไปเจาะลึกวิธีปลูกผม 3 แบบ FUE, FUT และ DHI

เทคนิคปลูกผม FUE (Follicular Unit Extraction)

เป็นวิธีปลูกผมแบบถาวรแบบหนึ่ง โดยการใช้เครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า Punch หรือ หัวเจาะ ขนาดเล็กมาก ๆ เจาะเอาเซลล์รากผมที่แข็งแรงและสมบูรณ์ที่สุดจากบริเวณด้านหลังของศีรษะ จะเจาะทีละกอผม (1 กอ มีเซลล์รากผมประมาณ 1-4 เส้น) แล้วนำเซลล์รากผมที่ได้มาปลูกตรงตำแหน่งใหม่และตามทิศทางที่ต้องการ

ขอบคุณเครดิตรูปภาพ: https://pavicon.com/

ข้อดีของการปลูกผม FUE

  • แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กมาก ประมาณ 0.5-1.0 มิลลิเมตร จึงทำให้แผลหายเร็วและมองไม่เห็นรอยแผลเป็น
  • ใช้เวลาผ่าตัดน้อยกว่าการปลูกผมแบบ FUT
  • แพทย์สามารถควบคุมทิศทางและตำแหน่งในการฝังรากผมได้ ทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นธรรมชาติ

ข้อเสียของการปลูกผม FUE

  • อาจเกิดอาการบวม แดง คัน หรือเจ็บบริเวณที่เจาะรากผม
  • อาจเกิดการติดเชื้อได้หากดูแลแผลไม่สะอาด
  • อาจเกิดรอยคล้ำบริเวณที่เจาะรากผมได้

เทคนิคปลูกผม FUT (Follicular Unit Hair Transplant)

เป็นวิธีปลูกผมแบบถาวรแบบหนึ่ง โดยการตัดเอาแถบหนังศีรษะที่มีรากผมจากบริเวณด้านหลังของศีรษะ (บริเวณที่รากผมแข็งแรงและหลุดร่วงน้อยที่สุด) จากนั้นจึงนำหนังศีรษะที่มีรากผมไปตัดเป็นหน่วยรากผม (Follicular Unit) ขนาดประมาณ 1-4 เส้น แล้วนำไปปลูกลงในบริเวณที่ต้องการปลูก

ขอบคุณเครดิตรูปภาพ: https://pavicon.com/

ข้อดีของการปลูกผม FUT

  • สามารถปลูกผมได้จำนวนมาก
  • ใช้เวลาผ่าตัดน้อยกว่าการปลูกผมแบบ FUE
  • แพทย์สามารถควบคุมทิศทางและตำแหน่งในการฝังรากผมได้ ทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นธรรมชาติ

ข้อเสียของการปลูกผม FUT

  • อาจเกิดรอยแผลเป็นแนวยาวบริเวณด้านหลังศีรษะ
  • อาจเกิดอาการเจ็บปวดบริเวณที่ตัดหนังศีรษะ
  • อาจเกิดการติดเชื้อได้หากดูแลแผลไม่สะอาด

เทคนิคปลูกผม DHI (Direct Hair Implantation)

DHI (Direct Hair Implantation) เป็นวิธีปลูกผมแบบถาวรแบบหนึ่ง โดยการนำรากผมที่แข็งแรงและสมบูรณ์ที่สุดจากบริเวณด้านหลังของศีรษะ (บริเวณที่รากผมแข็งแรงและหลุดร่วงน้อยที่สุด) ออกมาทีละกอ จากนั้นจึงใช้เครื่องมือที่เรียกว่า DHI Implanter เจาะลงไปในบริเวณที่ต้องการปลูก แล้วนำรากผมที่ได้มาวางลงในรูเจาะทันที

ขอบคุณเครดิตรูปภาพ: https://pavicon.com/

ข้อดีของการปลูกผม DHI

  • แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กมาก ประมาณ 0.5-1.0 มิลลิเมตร จึงทำให้แผลหายเร็วและมองไม่เห็นรอยแผลเป็น
  • ใช้เวลาผ่าตัดน้อยกว่าการปลูกผมแบบ FUT
  • แพทย์สามารถควบคุมทิศทางและตำแหน่งในการฝังรากผมได้ ทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นธรรมชาติ
  • มีโอกาสเกิดการติดเชื้อน้อยกว่าการปลูกผมแบบ FUT

ข้อเสียของการปลูกผม DHI

  • อาจเกิดอาการบวม แดง คัน หรือเจ็บบริเวณที่เจาะรากผม
  • อาจเกิดรอยคล้ำบริเวณที่เจาะรากผมได้

หลังปลูกผม แพทย์จะนัดคนไข้มาตรวจแผลและทำความสะอาดแผลเป็นระยะ ๆ คนไข้ควรดูแลแผลตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

ผลลัพธ์ของการปลูกผมจะเริ่มปรากฏให้เห็นภายใน 2-3 เดือน และจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่ภายใน 1 ปี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *